Mandalay Palace พระราชวังแห่งสุดท้ายของมัณฑะเลย์

Mandalay Palace
Mandalay Palace

พระราชวังมัณฑะเลย์ เป็นพระราชวังเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง บรรยากาศทมีความขลัง ทั้งยังเชื่อกันว่าพระราชวังแห่งนี้สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง และประวัติความเป็นมาของที่นี่ยังดูน่าสนใจไม่น้อย ในประวัติศาสตร์พม่า อังกฤษยึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่2 โดยคิดว่าพระราชวังแห่งนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังนี้โดยการทิ้งระเบิดเจำนวนมากถล่มพระราชวังมัณฑะเลย์แห่งนี้ หลงเหลือเพียงแต่ป้อมปราการและคูน้ำรอบพระราชวัง จนปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ด้วยการจำลองแบบพระราชวังของเก่าขึ้นมา ด้านบนยังเป็นจุดชมวิวที่เห็นทัศนียภาพอันร่มรื่น อีกทั้งมัณฑะเลย์ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีนาฏศิลป์และคีตศิลป์ดีที่สุดในประเทศ จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก

วิธีเดินทาง: นั่งรถบัสมาจากสนามบินมัณฑะเลย์ประมาณ 45 นาที

ช่วงเวลาที่ดี: มัณฑะเลย์สามารถเที่ยวได้ทั้งปี ช่วงเข้าฤดูหนาวไปจนถึงต้นฤดูร้อนราวเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคม ดูน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะอากาศเย็นสบาย

เวลาเปิด-ปิด: พระราชวังเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่ 08.30 น. - 16.30 น.

ค่าเข้าชม: ค่าเข้าชมคนละ 10,000 แจ๊ด หรือคนละประมาณ 300 บาท

พักที่ไหนดี: โรงแรมฟอร์จูน (Fortune Hotel) , Hotel Yadanabon

วีซ่า: เที่ยวไม่เกิน 14 วัน ไม่ต้องขอวีซ่า


อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :  พระราชวังมัณฑะเลย์

เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวอีกเพียบ govivigo.com

เทศกาลญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนที่ไม่ควรพลาด



ฤดูร้อนของญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงสิงหาคม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน เพราะเป็นช่วงที่มีการจัดงานเทศกาล หรือ โอมัตสึริ กันมาก ซึ่งเทศกาลญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีอายุเก่าแก่เป็นหลายร้อยปี ใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองในช่วงหน้าร้อนนี้ ต้องไม่พลาดไปสนุกกับบรรยากาศเทศกาลชื่อดังของจังหวัดต่างๆ ที่เราจะมาแนะนำกัน


1. Gion Matsuri | วันที่ 1 - 31 กรกฎาคมของทุกปี



"เทศกาลกิอง" เป็นงานเทศกาลขนาดใหญ่ จัดขึ้นโดยศาลเจ้ายะสะกิ จินจะ พร้อมกับงานเทศกาลอื่นๆ อีกมากกว่า 30 งานในเดือนกรกฎาคม เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลในช่วงหน้าร้อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกียวโต ไฮไลท์ของเทศกาลนี้คือ "ยะมะโฮะโคะ จุงโค" ที่จัดในวันที่ 17 ในงานจะมีขบวนแห่รถลากตกแต่งตระการตามากกว่า 30 ขบวน เทศกาลนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติของยูเนสโก

2. Morioka Sansa Odori Festival | วันที่ 1 - 4 สิงหาคมของทุกปี​



ขบวนพาเหรดขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยนักร่ายรำและนักดนตรี (ขลุ่ยและกลองไทโกะ) รวมกว่า 35,000 ชีวิต แต่งกายด้วยชุดญี่ปุ่นหลากสีสัน ในวันสุดท้ายของงานจะมีการแสดงวะไดโกะ ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดไทโกะที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะร่วมเดินขบวนด้วย จุดเริ่มต้นขบวนพาเหรดอยู่บริเวณศาลาว่าการเมืองอิวาเตะ ยาวไปตลอดถนนกว่า 1 กิโลเมตร

3. Miyajima Kangensai Festival | ปลายเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนสิงหาคม



เทศกาลล่องเรือประจำปีแด่เทพเจ้าของศาลเจ้าอิสึคุชิมะ เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญของพิธีกรรมทางเรือที่ญี่ปุ่น โดยมีการรำราชสำนักประกอบดนตรีที่เล่นจากขลุ่ย กลองและเครื่องสายญี่ปุ่น เทศกาลจะจัดขึ้นในวันขึ้น 17 ค่ำเดือน 6 ของทุกปี

4. Aomori Nebuta Matsuri | วันที่ 2 - 7 สิงหาคมของทุกปี



เป็นเทศกาลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สำคัญของญี่ปุ่น ในช่วงเทศกาลจะมีผู้มาเที่ยวชมมากกว่า 3 ล้านคน ไฮไลท์ของงานคือขบวนพาเหรดโคมไฟเนบูตะที่ตกแต่งอย่างสวยงามอลังการสุดๆ พร้อมด้วยขบวนกลองไทโกะและขลุ่ยฮายาชิเพิ่มความสนุกสนานให้งานเทศกาล

5. Akita Kanto Matsuri | วันที่ 3 - 6 สิงหาคมของทุกปี



ทุกๆ ปีผู้ชมเทศกาลกว่า 1 ล้านคนจะได้สนุกสนานและตื่นเต้นไปกับขบวนแห่โคมไฟที่ทรงตัวอยู่บนไหล่ หน้า มือหรือสะโพกของผู้แห่ โคมคันโตมีหลายขนาด เป็นโคมกระดาษ 46 โคมที่ผูกติดอยู่กับเสาไม้ไผ่ยาว 8 -12 เมตร หนักสูงสุดกว่า 60 กิโลกรัมทีเดียว งานเทศกาลมีทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ไฮไลท์จะอยู่ในช่วงกลางคืนที่มีนักแสดงพร้อมโคมคันโตกว่า 200 โคมออกมาร่วมแสดงกันบนถนนเป็นพาเหรดยาวกว่า 1 กิโลเมตร

6. Sendai Tanabata Festival | วันที่ 6 - 8 สิงหาคมของทุกปี



เทศกาลทานาบาตะที่เมืองเซนได เป็นหนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นของงานคือการประดับตกแต่งย่านการค้าด้วยต้นไผ่และกระดาษหลากสีสัน ก่อนเริ่มงานเทศกาลหนึ่งวันคือในคืนวันที่ 5 สิงหาคม ท้องฟ้าจะสว่างสไวไปด้วยพลุกว่า 16,000 ดอก ที่จัดแสดงริมฝั่งแม่น้ำฮิโรเสะ

7. Awa Odori | วันที่ 12 - 15 สิงหาคมของทุกปี



เทศกาลระบำงานบงโอะโดะริ เทศกาลดนตรีและเต้นรำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นงานบงโอะโดะริที่ยิ่งใหญ่ติดหนึ่งในสามของญี่ปุ่น มีการร่ายรำท่าที่เรียกว่า Awa Odori ประกอบเสียงเพลงของเครื่องดนตรีญี่ปุ่นอย่างซามิเซ็น กลองไทโกะ ขลุ่ยชิโนบุเอะ ทั้งกลางวันและกลางคืน นักท่องเที่ยวสามารถร่วมเต้นรำไปพร้อมกับๆ ขบวนได้

8. Miyajima Water Fireworks Festival | วันที่ 11 สิงหาคม 2016 เวลา 19:40 - 20:40



หนึ่งในเทศกาลพลุในช่วงหน้าร้อนที่สวยงามของเมืองมิยาจิมะ พลุกว่า 5,000 ดอกจะถูกจุดขึ้นจากน้ำ บริเวณประตูโทริอิกลางน้ำของศาลเจ้าอิสึคุชิมะ เป็นภาพสวยๆ ที่หาชมไม่ได้จากที่อื่น

9. Yamaga Tourou Matsuri (Yamaga Lantern Festival) | วันที่ 15 - 16 สิงหาคม



งานจะจัดขึ้นบริเวณศาลเจ้าโอมิยะ เป็นหนึ่งในสามเทศกาลไฟฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดคุมาโมโตะ คืนแรกจะมีการจุดพลุกว่า 4,000 ดอกที่ริมแม่น้ำกิกุชิงาวะและในวันที่สองของงาน หญิงสาว 1,000 คนจะแต่งกายด้วยชุดกิโมโนพร้อมสวมโคมไฟเงินไว้บนศีรษะและร่ายรำกันตลอดคืน

อ่านวิธีการเดินทางและดูคลิปวีดีโอเทศกาลข้างต้นได้ที่ http://goo.gl/QYqL81
เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวอีกเพียบ govivigo.com

Shwedagon Pagoda สักการะเจดีย์ทองคู่เมืองพม่า

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เป็นมหาเจดีย์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของโลก สูงถึง 326 ฟุต เจดีย์แห่งนี้มีความสวยงามเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยความศรัทธาของชาวพม่าที่มักจะนิยมการบริจาคเพชรพลอยของมีค่าต่างๆ ให้กับพระเจดีย์ อีกหนึ่งจุดที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ลานอธิษฐาน ซึ่งเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เนื่องจากเป็นจุดที่พระเจ้าบุเรงนองมาอธิษฐานขอพร แล้วได้รับชัยชนะในการออกศึกสงคราม ควรค่าแก่การไปมหัสการขอพร ถ้าใครอยากเห็นเจดีย์ชเวดากองในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด แนะนำให้มาตอนเย็น เนื่องจากแสงอาทิตย์ยามเย็นเมื่อกระทบกับเจดีย์ทำให้สวยงามมาก ส่วนในตอนกลางคืนจะเห็นเจดีย์สีทองสวยอร่ามตาเป็นอย่างมาก

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ : พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง


พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง


ที่ตั้ง: พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

วิธีเดินทาง:1: ส่วนมากจะใช้บริการเเท็กซี่ประมาณครั้งละ 1-2 US (1 Us ประมาณ 1,000 Kyats ถ้าเรียกแท็กซี่ 2 Us ก็ประมาณ 2,000 Kyats ก็ตก 60 กว่าบาท)

ช่วงเวลาที่ดี: ช่วงเวลาเย็น พลบค่ำ เป็นช่วงพระอาทิตย์ตก เเสงที่กระทบกับเจดีย์จะเป็นเเสงที่สวยงามมาก

เวลาเปิด - ปิด: เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่ 04.00 น. – 21.00 น.ทุกวัน

ค่าเข้าชม: ค่าเข้าชมคนละ 5 ดอลล่าร์ แล้วต้องติดสติกเกอร์สีประจำวันไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงไว้ว่าได้ชำระค่าเข้าชมแล้ว

วีซ่า: อยู่ไม่เกิน 14 วันไม่ต้องขอวีซ่า

เข้าชมแหล่งท่องเที่ยวอีกเพียบ govivigo.com

Borobudur มรดกโลกที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือกาลเวลา

บุโรพุทโธ (Borobudur)  พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย สถานที่ยอดนิยมของชาวพุทธที่นิยมมาศักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ตั้งอยู่บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ถูกสร้างมาแล้วนับพันปี ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 จะเห็นได้ว่าเป็นสถูปแบบมหายาน มีกลิ่นอายของความเป็นอินเดียผสมกับวัฒนธรรมชวา จำลองมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย อันเป็นจุดที่แม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนาไหลมาบรรจบกัน และในส่วนของบุโรพุทโธแห่งนี้จึงมีแม่น้ำไหลผ่านด้วยกัน 2 สาย คือ แม่น้ำโปรโก และ แม่น้ำอีโร ความมหัศจรรย์ของที่นี่อยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ที่ซ่อนรายละเอียดของศิลปะระหว่างอินเดียและชวาภาคกลางไว้อย่างกลมกลืน และพุทธสถานแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในจุดชมแสงแรกของวันที่งดงามที่สุดในอินโดนีเซียอีกด้วย

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ บุโรพุทโธ ต่อได้ที่ : บุโรพุทโธในยามพระอาทิตย์ขึ้น

Borobudur
Borobudur มรดกโลกที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือกาลเวลา  


เข้าดูแหล่งที่ท่องเที่ยวสวยๆอีกเพียบได้ที่ : www.govivigo.com